วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไวรัสคอมพิวเตอร์

  ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้แพร่กระจายตัวเองจากไฟล์หนึ่งไปยังไฟล์อื่นๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสจะแพร่กระจายตัวเองอย่างรวดเร็วไปยังทุกไฟล์ภายในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำให้ไฟล์เอกสารติดเชื้ออย่างช้าๆ แต่ ไวรัสจะไม่สามารถแพร่กระจายจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้ด้วยตัวมันเอง โดยทั่วไปเกิดจากการที่ผู้ใช้เป็นพาหะ นำไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง เช่นเวลาที่ส่ง e-Mail โดยแนบเอกสาร หรือไฟล์ที่มีไวรัสไปด้วย, การทำสำเนาไฟล์ที่ติดไวรัสไปไว้บนไฟล์เซริฟเวอร์, การแลกเปลี่ยนไฟล์โดยใช้แผ่นดิสก์เก็ต เมื่อผู้ใช้ทั่วไปรับไฟล์ หรือดิสก์มาใช้งาน ไวรัสก็จะแพร่กระจายภายในเครื่อง และจะเป็นวงจรในลักษณะนี้ต่อไป
           ในอดีต คำว่า "ไวรัสคอมพิวเตอร์" เป็นนิยามของโปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อให้เกิดความเสียหายต่างๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์และสามารถแพร่กระจายตัวเองจากไฟล์หนึ่งไปยังไฟล์อื่นๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ไม่สามารถแพร่กระจายข้ามเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์สามารถแพร่กระจายข้ามเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นั้นมีสาเหตุมาจากการที่ผู้ใช้นำไฟล์ที่มีไวรัสคอมพิวเตอร์ไปใช้บนเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ เช่น นำแผ่น diskette หรือสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ ที่มีไฟล์ของไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่มาใช้งาน เป็นต้น
           อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปไวรัสคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนารูปแบบ เทคนิคการแพร่กระจาย ความสามารถ รวมทั้งความรุนแรงในการก่อความเสียหายให้ระบบ ที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ดังนั้น ปัจจุบันคำว่า "ไวรัสคอมพิวเตอร์" จึงมีความหมายที่กว้างขึ้นไปจากเดิมและมีการบัญญัติคำศัพท์ขึ้นมาใหม่ว่า "มาลแวร์ (Malware: Malicious Software)" ซึ่งหมายถึงชุดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ใดๆ ที่ได้รับการจัดทำขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความเสียหายให้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอาจมีความสามารถในการเคลื่อนที่จากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งหรือจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้ด้วยตัวเอง
           นั่นคือ ปัจจุบัน "ไวรัสคอมพิวเตอร์" ถูกนำมาใช้ในความหมายของ "มาลแวร์" กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะหมายถึงไวรัสคอมพิวเตอร์ในรูปแบบก่อนๆ แล้วนั้น ยังรวมไปถึง (หรืออาจประกอบมาจากส่วนประกอบที่กล่าวถึงข้างล่างนี้)
            หนอนอินเทอร์เน็ต (Internet Worm) ซึ่งหมายถึงโปรแกรมที่ออกแบบมาให้สามารถแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อี-เมล์ หรือ การแชร์ไฟล์ ทำให้การแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง
โทรจัน (
Trojan) ซึ่งหมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้แฝงตัวเองเข้าไปในระบบและจะทำงานโดยการดักจับเอารหัสผ่านเข้าสู่ระบบต่างๆ และส่งกลับไปยังผู้ประสงค์ร้าย เพื่อเข้าใช้หรือโจมตีระบบในภายหลัง ซึ่งแฝงมาในหลายๆ รูปแบบ เช่น โปรแกรม หรือ การ์ดอวยพร เป็นต้น เพื่อดักจับ ติดตาม หรือควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกคุกคาม
โค้ด
Exploit ซึ่งหมายถึงโปรแกรมที่ออกแบบมาให้สามารถเจาะระบบโดยอาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการหรือแอพพลิเคชันที่ทำงานอยู่บนระบบ เพื่อให้ไวรัสหรือผู้บุกรุกสามารถครอบครอง ควบคุม หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดบนระบบได้
ข่าวไวรัสหลอกลวง (
Hoax) ซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของการส่งข้อความต่อๆ กันไป เหมือนกับการส่งจดหมายลูกโซ่ โดยข้อความประเภทนี้จะใช้หลักจิตวิทยา ทำให้ข่าวสารนั้นน่าเชื่อถือ ถ้าผู้ที่ได้รับข้อความปฏิบัติตามอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การให้ลบไฟล์ข้อมูลที่จำเป็นของระบบปฏิบัติการโดยหลอกว่าเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำให้ระบบปฏิบัติการทำงานผิดปกติ เป็นต้น
            หมายเหตุ: เมื่อกล่าวถึง hoax จึงขอนำเสนอความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของ hoax อีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ไวรัสคอมพิวเตอร์ แต่เป็นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่งที่กำลังเป็นที่พบเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน นั่นคือ "Phishing" ซึ่งเป็นการปลอมแปลงอี-เมล์ (E-mail Spoofing) และทำการสร้างเว็บไซต์ปลอมที่มีเนื้อหาเหมือนกับเว็บไซต์ของจริงและมี Address ใกล้เคียงกับเว็บไซต์จริง เพื่อทำการหลอกลวงให้เหยื่อหรือผู้รับอี-เมล์เปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ อาทิ ข้อมูลของหมายเลขบัตรเครดิต บัญชีผู้ใช้ (Username) และ รหัสผ่าน (Password) หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พืชรักษาโรค

พืชผักรักษาโรค
สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิด
ว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ ' ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ' เช่น
 
1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อมๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่นๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต
15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเออยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16. แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต ' ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมีทำให้ระดับความดันเลือดลดลง
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้

พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภาย
ในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ ได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับ
ตนเอง
คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย

เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทย
ขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากร
ธรรมชาติของเราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า
และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้าน
โภชนาการของคนไทยต่อไป

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก

อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
2. มะเร็งในมดลูก

อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่

อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย)

อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อ
ต่างๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด

อาการ มักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบ! ากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ

อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง

อาการปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่าและเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก

อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ

อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวด เร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก

อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือ ถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูง
กว่าคนอื่นๆ

 
ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน

วิธีรักษา - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมากๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน
ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ


วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปัญหายาเสพติดกับคนติดยาเเละผืนเเผ่นดินไทย

บทความส่งมาโดยพี่ ทนายความม้ง/Hmong Lawyer Thailand.
สังคมคนไทยโดยทั่วไป มักจะมองและเหมารวมว่า คนม้งเป็นคนที่ชอบค้ายาบ้า ทำผิดกฎหมาย แต่ก่อนคนม้งก็เคยถูกเหมารวมว่าเป็นคนที่ทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย
แต่อยากจะขอเรียนชี้แจง ให้มองเห็นถึงสภาพความจริงว่า คนม้งมีเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ เวลามีคนไทยถูกจับ ก็จะมองดูเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ค่อยมีใครที่จะสนใจเอาใจใส่ ซึ่งต่างกับเวลาที่คนม้งถูกจับ ก็จะมีความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
คนม้งมีจำนวนน้อย แต่ป่าในประเทศไทยถูกทำลายไปมากมาย ถ้าเป็นคนที่มองและเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้และลึกซึ้งแล้ว ผมว่าจะเข้าใจดีครับ แต่ธรรมดาของมนุษย์ ที่มักมองอะไรง่ายๆ และโดยผิวเผิน มองในมุมที่แคบๆ ซึ่งเราไม่สามารถที่จะไปทำให้เขาคิดเหมือนเช่นเราคิด และเขาก็ไม่สามารถที่จะมาทำให้เราคิดเหมือนที่เขาคิด
มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้ หากจะพูดว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่เป็นเพียงคนละประเภท และสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์โดยทั่วไปก็คือ คุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์
ในหลวงท่านทรงตรัสเป็นพระบรมราชาโอวาทให้พวกเราคนไทยทุกคนว่า
เราไม่สามารถจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ ในสังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี
ศาสนาพุทธเองก็มีคำพูดคำสั่งสอนที่ว่า นานาจิตตังคือต่างจิตต่างใจ ต่างความคิด คนม้งก็รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไทย รักผืนแผ่นดินไทย เช่นคนไทยทุกคนครับ
พี่น้องม้งครับ ในหลวงท่านทรงตั้งชื่อเอาไว้เรียกพวกเราว่า [...]

`ม้งและยาเสพติด เรื่องใกล้ตัว

สวัสดีพี่น้องม้งทั่วโลกครับ ก็หวังว่าทุกท่านคงจะสบายดีในช่วงเทศกาลปีใหม่ม้งนี้กันถ้วนหน้านะครับ
เมื่อพูดถึงเรื่องยาเสพติด พี่น้องม้งทุกคนคงทราบกันดีว่าหมู่บ้านม้งเริ่มมียาเสพติดมาเกี่ยวข้องกันมากขึ้น อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วครั้งหนึ่งนานแล้วที่ว่า ที่ บขส.จังหวัดแพร่ มีป้ายประกาศจับนักโทษระดับจังหวัด ในใบประกาศนั้นมีประมาณ 40 คน แต่เป็นคนม้งเกือบครึ่งหนึ่ง และส่วนใหญ่ก็เป็นคดียาเสพติดทั้งนั้น และเมื่อปีสองปีที่ผ่านมาก็มีเรื่องสะเทือนขวัญพี่น้องม้งทั่วโลก ที่หนุ่มติดยาเสพติดที่เข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์ ข่มขื่นแล้วฆ่าเด็กหญิงม้งตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนรับไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะไปว่ากล่าวอย่างไร แล้วจะแก้ไขอย่างไรกับปัญหานี้
ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนผมเองก็เห็นกับตาที่เด็กวัยรุ่นม้งที่ค้ายา ถูกตำรวจจับไปต่อหน้าต่อตา โดยที่เราเองก็ไม่คิดว่าคนผู้นี้เป็นคนค้ายาเสพติด
และล่าสุดน้องชายผมเองโดน ตำรวจจับในข้อหา เสพยาเสพติดประเภทยาบ้า ผมไปประกันตัวน้องชายที่โรงพัก ก็ปรากฏว่าสถานที่แห่งนั้นก็หนาแน่นไปด้วยคนม้งอีก
ด้วยเหตุนี้ ณ ปัจจุบันนี้พวกเราชาวม้งเองคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านที่วัยรุ่นติดยาค่อนข้างมาก พ่อแม่เองก็คงไม่ปรารถนาให้ลูกตัวเองติดยาเสพติดอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร มีใครกล้ารับรองไหมว่า ถ้าเราเป็นพ่อแม่มีลูก จะสอนให้ลูกเป็นคนดี และไม่เกี๋ยวข้องกับยาเสพติดได้หรือ?
ยาเสพติดทำร้ายชีวิตพี่น้องม้งเรามากมาย [...]
ยามที่ได้อ่าน-ฟังข่าวเกี่ยวกับการค้า-เสพยาเสพติด ยิ่งเป็นพี่น้องม้งเราด้วยแล้วใจสั่นทุกครั้งที่ได้ยิน เรื่องยาเสพติดกับคนบางกลุ่มไม่ได้จำกัดว่าเป็นม้ง หรือเชื้อชาติไหน ๆ หรอก ทำไมมันล่อตาล่อใจจนอดไปค้าไปขายไม่ได้เลยหรือไง แม้คนอื่นจะทุกข์ร้อนอย่างไรไม่สนใจ แม้พ่อแม่ต้องจ้างคนมาฆ่าลูกตัวเองก็เพราะติดยางอมแงม แถมทำร้ายพ่อแม่ยามเมายาและอยากได้เงินไปซื้อยาเสพ หลายครั้งที่กรรมสนองคืนอย่างทันตาเห็นสำหรับคนชั่ว
คงเคยผ่านหูผ่านตาที่ จนท.ตำรวจจับยาบ้าได้ แทนที่จะส่งให้ทางการทั้งหมด แต่เม้มไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้ลูกเมียนำไปขายต่อ ผลกรรมก็สนองตามข่าวที่เราท่านทราบไปแล้ว ก่อนหน้ายาบ้าเพิ่งจะซาไปพักเล็ก ๆ ยังไม่ได้ตั้งตัวดีเลยยาเสพติดกลับมาครั้งใหม่และใหญ่กว่าเก่าแถมมีน้องพี่พ่วงมาอีกทั้งไอซ์ทั้งอี เลยยิ่งผวาหนัก
แล้วผู้อ่านใน ม้งเอเชีย เคยมั้ยที่ประสบพบเจอคนเมายาบ้าแบบประชิดตัวบ้าง ผู้เขียนได้ประสบมาตรง ๆ 2 ครั้ง ยอมรับว่ากลัว และเป็นเหตุให้หวาดระแวงคนแปลกหน้าไปพักใหญ่ ๆ ครั้งแรกและต่อเนื่องกับคนเดียวกันนี้มาหลายครั้งจนจะประสาทกิน เพราะมีแฟนรายการขับมอเตอร์ไซค์มาจากบนเขาและบอกว่ามาหาตัวผู้เขียน ครั้งแรกไม่ได้คิดอะไร ไปสอบถามด้วยดี ปรากฏว่าได้รับคำตอบมาแบบงงมาก ๆ
ผู้ชายคนนี้กำลังเมายาและบอกว่าเห็นท่านในหลวงส่งข่าวมาบอกว่าให้ลงมารายงานตัวทำงานที่หน่วยงานที่ผู้เขียนทำงานอยู่ในวันนี้ งง….ถามว่าใครส่งข่าวบอก….ตอบว่าผู้เขียนไงเป็นคนส่งข่าวไปบอก….ยิ่งงง เพราะตอนนั้นไม่มีโทร.มือถือแบบสมัยปัจจุบัน ต้องส่งจดหมายหรือประกาศทางวิทยุเท่านั้น
กว่าจะรู้ว่าเมายาทำเอาผู้เขียนแทบบ้าตาม และผู้ชายคนนี้เทียวมาแทบทุกวันหากเห็นรถมอคันนี้มาต้องรีบหลบหนีแทบไม่ทัน และให้ สห. มาไล่หลายครั้ง [...]
Copyright © 2007-2011 Hmongasia.com



วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผลไม้เพื่อสุขภาพ

ผลไม้เพื่อสุขภาพ
มะเฟือง (Star apple) นอกเหนือจากความสวยงามแปลกตาในเรื่องรูปทรงแล้ว ในด้านคุณค่าทางโภชนาการ มะเฟืองสุกยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบายแก้ท้องผูก ช่วยขับเสมหะได้
ในด้านสมุนไพร เราสามารถใช้ส่วนต่างๆของมะเฟืองมารักษาโรคได้ดังต่อไปนี้
*                      ผล คั้นเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยบรรเทาอาการอาการเจ็บคอ ไข้หวัด บรรเทาอาการนิ่วในปัสสาวะขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะช่วยลดอาการร้อนใน ช่วยขจัดรังแค นอกจากนั้นน้ำคั้นจากผลมะเฟือง ยังใช้ลบรอยเปื้อนบนมือ เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆได้ดีอีกด้วย
*                      ใบ นำมาต้มผสมกับน้ำ กินแก้ไข้ ขับปัสสาวะ ขับระดู หรือหากนำมาบดให้ละเอียดพอกบนผิวหนัง จะช่วยลดอาการอักเสบ ช้ำบวม แก้ผื่นคัน กลากเกลื้อน และอีสุกอีใส
ราก มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ต้มกับน้ำ ช่วยดับพิษร้อน แก้อาการปวดศรีษะ ปวดตามข้อต่างๆในร่างกาย ปวดแสบในกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องร่วง ส่วนดอกมะเฟืองนิยมนำมาต้มน้ำดื่ม เพื่อช่วยในการขับพิษและขับพยาธิ
ข้อควรระวัง ผลมะเฟืองมีกรดออกซาติกอยู่ค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้เป็นฝ้าได้ อีกทั้งไม่ควรกินในขณะมีประจำเดือนเพราะจะทำให้รู้สึกปวดท้อง สตรีมีครรภ์ไม่ควรกินมาก เพราะจะทำให้แท้งได้
ส้มโอ (Pomelo) ในส้มโอมีสารเพคติน (Pectin) สูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเลือด อีกทั้งยังมีสารโมโนเทอร์ปีนที่ช่วยในการกวดจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้นส้มโอยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งคือช่วยขับลมในกระเพาะ อาหารและลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย
*                      ใบสดนำมาตำให้ละเอียด แล้วย่างไฟให้อุ่น ใช้พอกบริเวณที่ปวดบวมหรือปวดศีรษะได้
*                      เปลือกผล ของส้มโอมีน้ำมันหอมระเหยหลายชนิด ใช้เป็นยาขับลม ขับเสมหะ แก้ท้องอืด แน่นหน้าอก ไอ สมารถใช้เปลือกผล ตำพอกฝี และใช้จุดไฟไล่ยุงได้ หรือหากนำเปลือกผลส้มโอมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำไปนึ่งรับประทานทุกเช้าเย็น ก็จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหอบหืดได้
*                      เมล็ดของส้มโอ มีสรรพคุณช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ลดอาการปวดบวมของผิวหนัง และยังช่วยลดปริมาณของเสมหะที่มีในลำคอได้อีกด้วย
*                      ผล ช่วยเจริญอาหาร หากรับประทานเนื้อของผลส้มโอภายหลังอาหาร จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
มะยม (Star gooseberry) เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด ในผลมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง จึงมีฤทธ์ในการช่วยสมานแผลและใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ ในยอดอ่อนมีฟอสฟอรัส ช่วยในการขับเหงื่อ และกระตุ้นการเจริญอาหาร รากของมะยมมีสารแทนนินอยู่ค่อนข้างสูง ใช้แก้ไข้ แก้อาการหอบหืดและปวดศีรษะ
*                      รากมะยม ใช้รากมะยมประมาณ1กิโลกรัมต้มกับน้ำ 10 ลิตรให้เดือดทิ้งไว้ให้อุ่น นำมาอาบ หรือใช้รากมะยมฝนกับน้ำซาวข้าวทาวันละ 2-3 ครั้งอาการคันจะดีขึ้น
*                      แก่นมะยม นำแก่นมะยมมาฝานให้ได้ขนาดชิ้นเท่าฝ่ามือ 3 ชิ้น ต้มกับน้ำ 1 แก้ว นาน 5 นาที ดื่มให้หมด 1 แก้ว กินติดต่อกัน 1อาทิตย์จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้
*                      ใบ นำใบแก่พร้อมก้าน1กำมือ ไปต้มพร้อมน้ำตาลกรวดให้เดือดนาน 5-10 นาทีแล้วดื่ม จะช่วยลดอาการปวดศีรษะเนื่องจากความดันโลหิตสูงได้
ข้อควรระวัง รากของมะยมมีพิษ ใช้เป็นยาเบื่อสัตว์ใหญ่ โดยใช้ผสมกับอาหาร ถ้ากินเข้าไปจะทำให้เกิดอาการเมาและอาเจียนได้
มังคุด (Mangosteen) เป็นผลไม้ที่เนื้อในของผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน กลมกล่อม ในเปลือกมังคุดยังมีสารเทนนิน (Tannins) และสารมีสารแมงโกติน (Mangostin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง อยู่มากถึง 7-14 เปอร์เซนตร์ ในแง่สมุนไพร เปลือกมังคุดจึงมีสรรพคุณในการใช้รักษาโรคผิวหนัง และนิยมนำไปสกัดทำเป็นสบู่ ครีมพอกหน้า และยารักษาสิวฝ้าได้อีกด้วย
*                      เปลือกมังคุดแห้ง ใช้เปลือกมังคุดแห้งของผลแก่ฝนกับน้ำปูนใส ให้ได้ตัวยาข้นๆทาบริเวณที่เป็นแผลพุพอง เป็นหนอง หรือบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 2-3 ครั้งอาการจะดีขึ้น หรือใช้เปลือกมังคุดแห้ง 1-2 ผลต้มกับน้ำ1 ลิตร ล้างแผลวันละ 3-4 ครั้ง ก็ได้เช่นเดียกัน หรือนำเปลือกมังคุดที่ตากแดดจนแห้ง ไปฝนกับน้ำให้ได้ความเข้มข้น ทาบริเวณที่เป็นวันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยให้แผลน้ำกัดเท้าแห้งเร็วขึ้น
*                      เปลือกมังคุด นำไปต้ม ใช้เป็นยากลั้วคอ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและต้านเชื้อราในปาก เวลาเป็นแผลในปาก
*                      เปลือกแห้งของผลแก่ ใช้เปลือกมังคุดแห้ง1ลูก ต้มกับน้ำให้เดือด 5 -10 นาที รับประทานครั้งละ1 ช้อนโต๊ะ ทุกๆ 4 ชั่วโมง แก้ท้องเสีย ท้องร่วงเรื้อรัง บิดถ่ายเป็นมูกเลือด
หรือใช้เปลือกมังคุดแห้งครึ่งผล ย่างไฟ ให้เกรียม บดเป็นผง ละลายในน้ำครึ่งแก้ว รับประทานทุก 2 ชั่วโมง อาการจะทุเลา
มะขาม (Tamarind) ในเนื้อมะขามมีสารแอนทราควินิน (Antraquinone) ซึ่งช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ นอกจากนั้น ยังมีกรดอินทรี (organic acid) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาร์ริก (Tartaric acid) และกรดซิตริค (Citric acid) ทำให้มีฤทธ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เพิ่มกากใยอาหาร และช่วยหล่อลื่นให้ขับถ่ายสะดวก
*            
*                                     เปลือกของเมล็ด นำเมล็ดมะขามสุกไปคั่วไฟให้สุก กะเทาะเอาแต่เปลือกไปบดไฟให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำมันละหุ่งหรือน้ำมัน มะพร้าว พอกแผลที่โดนไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวกวันละ 2-3 ครั้ง
*                                     เมล็ดมะขาม นำเมล็ดมะขามไปคั่วให้สุก กะเทาะเปลือกทิ้ง นำไปแช่น้ำจนนิ่ม ตำพอกแผล รักษาฝีและแผลเรื้อรัง
*                                     เมล็ดมะขาม เอาเมล็ดไปผ่ากลางตามแนวขวาง นำส่วนที่ถูกผ่าไปฝนกับน้ำมะนาว ใช้ปิดรอยแมลงกัด เมล็ดมะขามจะช่วยดูดพิษแมลงสัตว์กัดต่อยออกมาได้
*                                     เนื้อมะขาม นึ่งเนื้อมะขามให้สุก คั้นกับน้ำข้นๆ เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ แก้ไอ ขับเสมหะ
ทับทิม (Pomecranate) ส่วนต่างๆของทับทิมสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผล ซึ่งมีรสหวานอมเปรี้ยว ออกฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง เป็นต้น นอกจากนั้น ในเปลือกผลแก่ของทับทิมยังมีกรด Gullotannic ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แก้อาการท้องเดินได้ ซึ่งกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้วิเคราะห์ไว้แล้วว่าไม่มีพิษเฉียบพลัน ทั้งยังสามารถใช้รักษาโรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรียและอะมีบาได้ผลดีอีกด้วย
*            
*                                     น้ำทับทิม นำทับทิม 1 ลูกไปคั้น ดื่มน้ำตอนเช้าครั้งละ1 แก้วจะช่วยลดอาการคลื่นไส้ (สูตรนี้เหมาะกับคนที่ตั้งครรภ์) ในกรณีของคนที่ดื่มแก้ท้องอืดและบำรุงสายตาให้ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ดื่มหลังอาหารจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมได้ดีขึ้น
*                                     เปลือกทับทิม นำเปลือกทับทิมตากแห้งไปฝนกับน้ำปูนใสให้ข้น ทาทุกครั้งที่มีอาการน้ำกัดเท้า
เปลือกผล ใช้เปลือกผลแก่ที่แห้ง ขนาด 1/4 ของผลทับทิม ต้มกับน้ำปูนใส ดื่มครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะทุกๆ 4 ชั่วโมง อาการท้องเสียและบิดจะดีขึ้น
*                                     เปลือกผล นำเปลือกผลแก่ที่สด ครึ่งลูก ต้มกับน้ำ 1 แก้ว อมกลั้วคอทุกเช้าและก่อนนอน แก้อาการเจ็บคอ ปวดฟัน
มะขามป้อม (Emblic) นอกเหนือจากจะมีวิตามินซีสูงกว่าน้ำส้มถึง 20 เท่าในปริมาณที่เท่ากันแล้ว มะขามป้อมยังมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ใช้เป็นยาลดไข้ ยาฟอกเลือด ยาระบาย บำรุงหัวใจ ใช้ขับปัสสาวะ และแก้ริดสีดวง ได้อีกด้วย
*            
*                                     เปลือกต้น นำไปตากให้แห้ง บดเป็นผง โรยบริเวณบาดแผล เพื่อห้ามเลือดในแผลสด
*                                     ราก เอารากต้นมะขามป้อมสด ไปตำพอแหลก พอกแผล รากมะขามจะช่วยดูดพิษตะขาบออกมา
*                                     ลูกมะขามป้อม เอาลูกมะขามป้อม 50-70 ลูก ไปต้มให้สุก แล้วแกะเอาเมล็ดออก ตำให้ละเอียด แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นเอามาผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 เม็ด จะทำให้ร่างกายแข็งแรง แก้อาการอ่อนเพลีย
ผลแห้ง นำผลมะขามป้อมที่ตากจนแห้ง 2-3 ผลแกะเอาเมล็ดออกผสมนมสด 1 แก้ว ปั่นให้เป็นครีมดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดกัน 7 วัน จะช่วยบรรเทาโรคกระเพาะ
กล้วยสามารถรักษาโรคกระเพาะได้

การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้

ดร.จีน คาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า
 
กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น
นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย

จากการศึกษาผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ

โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา พบว่า ผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่า การรัประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผง ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้

ชื่ออื่น : บลีมิง(มาเลย์-นราธิวาส) หลิงปลิง มะเฟืองตรน(ใต้) กะลิงปริง ปลิมิง ลิงปลิง(ระนอง)

ประโยชน์ทางอาหาร : ผล-เนื้อผลประกอบเป็นเครื่องปรุงอาหารเพิ่มรสชาดให้เปรี้ยว และนิยมบริโภคสดเป็นผลไม้ และแปรรูปเป็นผลไม้แช่อิ่ม

ประโยชน์ทางยา : ใบ-รักษาโรคผิวหนัง ขับพยาธิ ขับเสมหะ ต้น-ใช้ต้นอ่อนเป็นยาระบาย

สภาพที่เจริญเติบโต : พบตามป่าดิบชื้น ปัจจุบันนิยมปลูกเพื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร

ฤดูที่ใช้ประโยชน์ : ตุลาคม-มกราคม

ข้อระวัง : ห้ามบริโภคเกินขนาดจะทำให้อาเจียนได้

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีด่างสูง
น้ำมะพร้าวและกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่ามะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่ามะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน
ให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน
สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กถ้า ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด ให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียว ครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย

เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้ อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม ควรกินให้หมดทีเดียว ผลไม้แต่ละอย่างมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าวควรต้องระวังเรื่องสารฟอกขาวหากเป็นไปได้ควรซื้อเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง เมื่อต้องการดื่มค่อยตัดทีละลูกจากทะลาย

***มะพร้าวไม่ได้มีประโยชน์แค่ผลเท่านั้นยังมีส่วนอื่นๆ อีก *** เช่น

ราก - ใช้แก้พิษไข้ แก้ท้องเสีย โดยนำรากมาฝนกับน้ำข้าวกินดับพิษไข้ พิษผิดสำแดง

น้ำมะพร้าว - ก็ถือว่าเป็นยา ใช้บำรุงธาตุไฟ แก้เลือดกำเดา ใช้ทดแทนน้ำที่เสียไปขณะท้องเสียโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ใช้เป็นน้ำกระสายยาหอม แก้อาการอ่อนเพลีย

ดอก - ใช้แก้ท้องเสีย แก้ริดสีดวงทวาร แก้ปากเปื่อย แก้โลหิตเป็นพิษ ต้มอมแก้ปากเปื่อย

เนื้อมะพร้าว - ใช้แก้อาการนอนกัดฟันในเด็ก

น้ำมันมะพร้าว - ใช้ผสมยาหลายชนิด ส่วนมากเป็นยาทา

ผงถ่านจากกะลามะพร้าว - แก้ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เล่ากันว่าในการกระเบิดของโรงไฟฟ้าที่เชอร์โนบิล มีการใช้ผงถ่านจากกะลามะพร้าวลดปริมาณกัมมันตภาพรังสีในร่างกายผู้ป่วยลงไปได้ 500-1000 เท่า
*                      กินผลไม้เป็นยาอย่างไรไม่ให้มีผลข้างเคียง........

ไม่เฉพาะแต่ผลไม้ไทย แต่สมุนไพรทุกชนิดแม้จะมีผลข้างเคียงในการรักษาค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยา แผนปัจจุบัน แต่หากใช้โดยไม่ระมัดระวังก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นก่อนนำผลไม้หรือสมุนไพรใกล้ตัวมาปรุงเป็นยา ควรศึกษาและหาทางป้องกันดังต่อไปนี้
*                                     กิน แต่น้อยเพื่อความมั่นใจ หากไม่เคยกินยาขนานนั้นมาก่อน ควรเริ่มกินในปริมาณที่น้อยๆ เช่น กินเพียงครึ่งหนึ่งของขนาดที่กำหนดมาให้ เพื่อรอดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายหรือไม่ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่อยกินต่อไป
*                                     อย่า ใช้ยาเกินขนาดและผิดประเภท เป็นต้นว่า ยาบางชนิดใช้ต้มผสมน้ำดื่มก็ไม่ควรนำไปต้มจนงวด เพราะการกินยาที่มีความเข้มข้นเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายได้
*                                     ศึกษาพิษของยาก่อนกิน ก่อนที่จะใช้ยาสมุนไพรไม่ว่าประเภทใดก็ตาม ควรรู้พิษและผลข้างเคียงของยาเสียก่อน เพื่อจะได้ระมัดระวังมากขึ้น
*                                     ไม่ ควรกินยาตัวเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น แม้ยาสมุนไพรส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงในระยะเฉียบพลัน แต่การกินติดต่อกันนานๆอาจทำให้เกิดการสะสมและเป็นอันตรายได้
*                                     http://www.yourhealthyguide.com

อาหารเพื่อสุขภาพ

บทความ อาหารเพื่อสุขภาพ ความรู้ดีๆๆที่ส่งให้อ่านได้ทุกวัน
เอ่ยถึงอาหารแนวสุขภาพ ก็ต้องนึกถึง "ธัญพืช" เป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะ ธัญพืชเต็มเมล็ด หรือเรียกสั้นๆ ว่า โฮลเกรน ซึ่งเป็นธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงมีส่วนประกอบ ทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด, เนื้อเมล็ด และจมูกข้าว ครบถ้วนแบบนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสุดๆ เพราะโฮลเกรน เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่อุดมไปด้วยเส้น ใยอาหาร, วิตามิน, แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

การกินโฮลเกรนจึงส่งผลดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ "สง่า ดามาพงษ์" นักโภชนาการ ประจำกระทรวงสาธารณสุข ชี้ให้เห็นว่า โรคอ้วนและโรคข้างเคียง ซึ่งไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ, หลอดเลือด, ความดัน, เบาหวาน มีคนเป็นเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศตะวันตกและตะวันออก การใส่ใจเรื่องอาหารการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
อาหารแนวสุขภาพอย่าง "ธัญพืชเต็มเมล็ด" หาได้ไม่ยากใกล้ตัวที่สุดและดีที่สุดคือ "ข้าวกล้อง" นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีข้าวโอ๊ต, ข้าวบาร์เล่ย์, ซีเรียล,ขนมปัง และพาสต้า ที่ทำมาจากโฮลเกรน แบบไทยๆก็มีลูกเดือยและข้าวโพด

ส่วนหนุ่มสาวที่รักสวยรักงาม ถ้ากินอาหารแนวนี้จะได้ถึงสองเด้ง!!! คือนอกจากสุขภาพจะฟิตเปรี๊ยะแล้วยังได้ "หุ่น" อีกต่างหาก ใครที่ใช้วิธีลดความอ้วนแบบอดมื้อกินมื้อ ขอบอกว่า "เอาต์" แล้วจ้า

อยากสวยสดหุ่นดีต้องกินอาหารทุกมื้อ โดยเฉพาะ มื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อสำคัญที่สุด ควรเลือกกินอาหารประเภทโฮลเกรน เพราะจะทำให้อยู่ท้อง ไม่รู้สึกโหย และพลังงานจะกระจายไปจนถึงมื้อเที่ยง พอถึงช่วงกลางวัน แค่ก๋วยเตี๋ยวสักชาม หรือข้าวราดแกงอร่อยๆ ก็อิ่มสบายท้องแล้ว จากนั้นเมื่อถึงมื้อเย็น ค่อยหาอะไรทานเบาๆ อย่างสลัด, ซุป หรือปลาย่าง จะช่วยให้หลับสบายไม่อึดอัดท้อง ส่วนเด็กๆกินอาหารประเภทนี้ ก็จะช่วยเสริมสร้างสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้ห่างจาก "โรคอ้วน" แน่นอน

"ยู อาร์ วอท ยู อีท" กินอย่างไรก็ได้รับอย่างนั้น ถ้าเลือกกินสิ่งที่อุดมไปด้วยโภชนาการอาหารก็จะเป็นยามหัศจรรย์ได้เช่นกัน!!!
ที่มา : 
http://women.thaiza.com/detail_87686.html








: